เมนู

การดื่มน้ำเมา เป็นผู้ยินดีในเบญจศีล ฉลาดใน
อริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระโคดมผู้มีพระจักษุ และ
พระเกียรติยศ เพราะบุญนั้น ดีฉันจึงมีวรรณะเช่นนี้
ฯ ล ฯ และรัศมีของดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ อีก
ประการหนึ่ง ท่านเจ้าขา ขอพระคุณเจ้าถวายบังคม
พระยุคลบาทของพระผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า
แล้วทูลตามคำของดีฉันว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
อุบาสิกาชื่อลขุมา ถวายบังคมพระบาททั้งคู่ของพระผู้
มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญู ก็ข้อ
ที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรงพยากรณ์ดีฉันในสามัญ
ผลอย่างใดอย่างหนึ่ง นั้นไม่น่าอัศจรรย์ดอกเจ้าค่ะ
เพราะพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงพยากรณ์ดีฉันไว้ใน
สกทาคามิผลแล้วเจ้าค่ะ.

จบลขุมาวิมาน

อรรถกถาขุมาวิมาน


ลขุมาวิมานมีคาถาว่า อภิกฺกนฺเตน วณฺเณน ดังนี้เป็นต้น. ลขุมา
วิมานนั้นเกิดขึ้นอย่างไร.
เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้า ประทับอยู่ ณ กรุงพาราณสี. พาราณสี-
นครมีประตูอยู่แห่งหนึ่งชื่อว่าประตูบ้านชาวประมง แม้หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ไม่

ห่างไกลประตูนั้น ก็รู้จักกันว่าประตูบ้านชาวประมง ที่ประตูบ้านนั้น มี
หญิงคนหนึ่งชื่อลขุมา สมบูรณ์ด้วยศรัทธาและความรู้ เห็นภิกษุทั้งหลาย
เข้าไปทางประตูนั้น ไหว้แล้วนิมนต์ไปเรือนของตน ถวายภิกขาทัพพี
หนึ่ง เพราะความคุ้นเคยนั้นแล เมื่อศรัทธาเพิ่มพูนขึ้นจึงให้สร้างโรงฉัน
หลังหนึ่ง นำอาสนะเข้าไปถวายภิกษุทั้งหลาย ที่เข้าไปในโรงฉันนั้น
ตั้งน้ำฉัน น้ำใช้ไว้ ได้ถวายข้าวสุก ขนมกุมมาส ผักดองซึ่งมีอยู่ใน
เรือนแก่ภิกษุทั้งหลาย. นางฟังธรรมในสำนักของภิกษุทั้งหลาย ตั้งอยู่
ในสรณะและศีล เป็นผู้มั่นคง เรียนวิปัสสนากัมมัฏฐาน เมื่อขวนขวาย
วิปัสสนาอยู่ ไม่นานนักก็ตั้งอยู่ในโสดาปัตติผล เพราะตนถึงพร้อมด้วย
อุปนิสัย. เวลาย่อมานางทำกาละตายไปบังเกิดในมหติวิมานภพดาวดึงส์
มีนางเทพอัปสรพันหนึ่งเป็นบริวาร เสวยทิพยสมบัติอยู่ในวิมานนั้น
บันเทิงอยู่. ท่านพระมหาโมคคัลลานะ เที่ยวเทวจาริกไปได้ถามว่า
ดูก่อนเทพธิดา ท่านผู้มีรัศมีงามสว่างไสวไป
ทุกทิศ ประดุจดาวประกายพรึก เพราะบุญอะไรท่าน
จึงมีวรรณะเช่นนี้ และรัศมีจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

เทพธิดานั้น ถูกพระโมคคัลลานะถามแล้ว
ดีใจ ก็พยากรณ์ปัญหาของกรรมที่มีผลอย่างนี้ว่า

บ้านของดีฉันตั้งอยู่ใกล้ทางออกประตูบ้านชาว
ประมง ดีฉันมีใจเลื่อมใสในท่านผู้ตรง ถวายข้าวสุก
ขนมกุมมาส ผักดองและน้ำส้ม เจือรสเค็มแก่พระ-
สาวกทั้งหลาย ผู้แสดงหาคุณอันใหญ่ยิ่ง ซึ่งท่องเที่ยว

อยู่ที่ประตูบ้านชาวประมง ประการหนึ่ง ดีฉันได้เข้า
รักษาอุโบสถศีล อันประกอบด้วยองค์ 8 ประการ
ตลอดวัน 14 ค่ำ 15 ค่ำ 8 ค่ำ แห่งปักษ์ และ
ตลอดปาฏิหาริยปักข์ [ วันรับ- ส่ง] เป็นผู้สังวร
ด้วยดีในศีลทุกเมื่อ เป็นผู้สำรวมและจำแนกทาน
จึงได้ครอบครองวิมานนี้ ดีฉันเว้นจากปาณาติบาต
เว้นจากถือเอาสิ่งของของผู้อื่นด้วยไถยจิต จากการ
ประพฤติล่วงละเมิดในกาม สำรวมจากมุสาวาทและ
ห่างไกลจากการดื่มน้ำเมา เป็นผู้ยินดีในเบญจศีล
ฉลาดในอริยสัจ เป็นอุบาสิกาของพระโคดมผู้มีพระ-
จักษุ และมีพระเกียรติยศ เพราะบุญนั้นดีฉันจึงมี
วรรณะเช่นนี้ เพราะบุญกรรมนั้น ฯ ล ฯ รัศมีของ
ดีฉันจึงสว่างไสวไปทุกทิศ.

ประการหนึ่ง ขอท่านผู้เจริญ พึงถวายบังคมพระยุคลบาทของพระ-
ผู้มีพระภาคเจ้าด้วยเศียรเกล้า แล้วทูลตามคำของดีฉันว่า ข้าแต่พระองค์
ผู้เจริญ อุบาสิกาชื่อลขุมา ถวายบังคมพระบาททั้งคู่ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
ด้วยเศียรเกล้า ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ก็การที่พระผู้มีพระภาคเจ้าพึงทรง
พยากรณ์ดีฉันในสามัญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง นั่นไม่น่าอัศจรรย์ เพราะ
พระผู้มีพระภาคเจ้า ทรงพยากรณ์ดีฉันในสกทาคามิผลแล้ว.
บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า เกวฏฺฏทฺวารา นิกฺขมฺม ความว่า
ใกล้ที่ออกไปจากประตูบ้านชาวประมง.

บทว่า ฑากํ ได้แก่ ผักดองและกับมีกะเพราเป็นต้น. บทว่า
โลณโสวีรกํ ความว่า น้ำปานะอย่างหนึ่ง ที่เขาปรุงพร้อมด้วยเครื่อง
ปรุงมากอย่างนั้นมีข้าวเปลือกเป็นต้น. บางพวกเรียกน้ำข้าวตังว่า น้ำ
เกลือก็มี.
เวลาจบการถามและการตอบ นางบรรลุสกทาคามิผล ด้วยธรรม
เทศนาของพระเถระ. คำที่เหลือ เหมือนนัยที่กล่าวมาในอุตตราวิมาน
นั้นแล.
จบอรรถถถาขุมาวิมาน.

3. อาจามทายิกาวิมาน


ว่าด้วยอาจามทายิกาวิมาน


[20] ท้าวสักกเทวราชเมื่อจะตรัสถามถึงที่เกิดแห่งหญิงนั้น กะ
พระมหากัสสปเถระ จึงตรัสคาถาสองคาถา ความว่า
หญิงขัดสน ยากไร้ อาศัยชายคาเรือนของ
คนอื่นอยู่ มีจิตเลื่อมใส ได้ถวายข้าวตังแก่พระคุณ
เจ้าผู้เที่ยวไปบิณฑบาต ซึ่งมาหยุดยืนนั่งอยู่เฉพาะ
หน้า ด้วยมือของตนเอง ครั้นละจากอัตภาพมนุษย์
แล้ว ได้ไปสวรรค์ชั้นไหนหนอเจ้าข้า.

พระมหากัสสปเถระถวายพระพรว่า